ประวัติวรรณคดีไทย ในสมัยสุโขทัย (ศิลาจารึก)
ศิลาจารึกหลักที่ 1
ลักษณะของศิลารึกหลักที่ 1 เป็นหินชนวนสี่เหลี่ยมยอดมนสูง 1 เมตร 11 เซนติเมตร มีจารึกทั้งสี่ด้าน จารึกนั้นสูง 59 ซม. กว้าง
35 ซม. ด้าน 1,2 มี 35 บรรทัด ด้าน 3,4 มีด้านละ 27 บบรทัด
เมื่อ พ.ศ. 2376 รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งยังไม่ได้ครองราชย์
และผนวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา ได้เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือถึงเมืองสุโขทัย
ทรงพบศิลาจารึก 2 หลักและแท่นหินหนึ่งแท่น
อยู่ที่เนินปราสาทในพระราชวังกรุงสุโขทัยเก่า
ซึ่งปรากฎต่อมาว่าเป็นหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง และหลักศิลาจารึกของพระยาลิไทยส่วนแท่นหินคือพระแท่นมนังคศิลาอาสน์รัชกาลที่
4 จึงทรงโปรดให้นำโบราณวัตถุทั้งสามมาไว้ที่วัดราชาธิวาส
ต่อมาเมื่อพระองค์ย้ายไปอยู่วัดบวรนิเวศ ก็ย้ายตามไป
จนปัจจุบันนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
มีชาวต่างประเทศสนใจศึกษาหลายท่าน
เช่น เซอร์ยอน เบาริงชาวอังกฤษ บัสเตียน ชาวเยอรมัน และศาสตราจารย์ยอร์ช
เซเดส์ชาวฝรั่งเศสได้อ่านและทำคำอ่านไว้อย่างละเอียดเมื่อปี พ.ศ. 2452
ผู้แต่ง
จารึกตามพระบรมราชโองการของพ่อขุนรามคำแหง
เวลาที่แต่ง สันนิษฐานว่าจารึก 2 ครั้ง ครั้งแรกในสมัยพ่อขุนรามคำแหงราว พ.ศ. 1835 ครั้งหลังจารึกภายหลังรัชกาลนี้
เพราะถ้อยคำสำนวนเปลี่ยนไปเป็นการยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง
ความมุ่งหมาย
เพื่อให้เป็นหลักฐานว่าเคยมีกษัตริย์ปกครองกรุงสุโขทัย เพื่อให้ทราบถึงการปกครองบ้านเมืองในยุคนั้น
ทำนองแต่ง เป็นร้อยแก้ว มีลักษณะคล้องจอง
ถ้อยคำที่ใช้เป็นภาษาไทยแท้เป็นส่วนใหญ่
เนื้อเรื่อง
1.
กล่าวถึงพระราชประวัติและพระราชจริยาวัตรบางอย่างของพ่อขุนรามคำแหง
2. บรรยายถึงสภาพบ้านเมือง
ธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ของราษฎร กฎหมายความศรัทธาในศาสนาพุทธกับความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์การสร้างพระแท่นมนังคศิลาอาสน์
การสร้างพระธาตุ การสร้างจารึก การประดิษฐ์ตัวอักษรไทย
3.
คำสดุดีพระเกียรติของพ่อขุนรามคำแหง
และกล่าวถึงอาณาเขตอันกว้างขวางของสุโขทัยยุคนั้น
ที่มา
: ชำนาญ รอดเหตุภัยและคณะ: วรรณคดีและประวัติวรรณคดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น